ปัจจัยในการเจริญเติบโตของ “เห็ดตับเต่า”

การเกิดของเห็ดตับเต่า

เห็ดตับเต่า

“เห็ดตับเต่า” จัดว่าเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย โดยเฉพาะในท้องถิ่นภาคอีสาน แต่ปัจจุบันเห็ดตับเต่าที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ ก็หายากขึ้นทุกที เมื่อก่อนแถวบ้านที่ผมอยู่ (จ.ตาก) พอถึงหน้าฝนแค่เดินลงไปข้างห้วยก็เก็บเห็ดตับเต่าได้เป็นกิโลฯ แต่ปัจจุบันหาจะแกงสักขีดยังไม่มีเลยครับ เหตุผลอย่างหนึ่งที่ผมลองวิเคราะห์ดูอาจเป็นเพราะว่า การทำเกษตรในปัจจุบันเราใช้สารเคมีมากเกินไป เมื่อเกิดฝนตก ก็ทำการชะล้างสารเคมีต่างๆเหล่านี้ลงสู่ห้วย หนองคลอง บึงต่างๆ เชื้อเห็ดทั่วไปไม่เฉพาะแค่เห็ดตับเต่าจัดว่าเป็นเชื้อราที่กินได้ จึงตายไปเพราะพิษของสารเคมีดังกล่าว ด้วยเหตุนี้หากเราอยากจะรับประทานเห็ดตับเต่า ก็ต้องหาวิธีนำมาเพาะเอง ส่วนวิธีการนั้นก็ไม่ถือว่ายากครับ เพราะวิธีการและขั้นตอนทุกอย่างในการเพาะเห็ดตับเต่า มีอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว..วันนี้ผมก็เพิ่งจะสั่งซื้อก้อนเชื้อมา กะว่าจะเพาะไว้กินในครอบครับ แต่ก่อนอื่นขอนำเสนอวิธีการให้ได้รู้ก่อน เผื่อผู้อ่านสนใจอยากเพาะเห็ดตับเต่าไปพร้อมๆกับผม..มีรายละเอียดดังนี้ครับ   
"เห็ดตับเต่า" ที่เกิดใต้ต้นโสน จ.พระนครศรีอยุธยา
“เห็ดตับเต่า” จัดว่าเป็นเชื้อรากลุ่ม “เอ็คโตมัยคอร์ไรซ่า” คือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อรากับระบบรากอาหารของพืชชั้นสูง ซึ่งเชื้อเห็ดจะมีความเฉพาะเจาะจงกับรากฝอย (rootlets) ของพืชได้โดยตรง ไม่สามารถเพาะเลี้ยงให้เป็นดอกเห็ดได้บนอาหารสังเคราะห์ เหมือนกับเห็ดทั่วๆ ไป เช่น เห็ดนางฟ้าที่เราเห็นการเจริญเติบโตได้บนก้อนอาหารเห็ดที่มีจำหน่ายทั่วไป แค่เราซื้อมาวางไว้ในห้องน้ำก็สามารถเก็บเห็ดกินได้แล้ว  แต่เห็ดตับเต่าจะไม่ใช่อย่างนั้นครับ เห็ดตับเต่าจะเจริญเติบโตขึ้นมาได้ จะต้องมีพืชที่ใช้อาศัยในการเจริญเติบโตหรือที่เรียกว่า “พืชอาศัย” และพืชอาศัยของเห็ดตับเต่าก็จะมีอยู่หลายชนิดให้เราได้เลือกใช้ เช่น ต้นหว้า ต้นโสน ต้นมะกอกน้ำ ต้นส้ม ต้นมะม่วง ต้นขนุน และต้นทองหลาง เป็นต้น เคยมีข้อมูลว่าในจังหวัดเชียงรายที่อำเภอเวียงแก่น ซึ่งเป็นแหล่งปลูกส้มโอขนาดใหญ่ กลับพบว่าในบางพื้นที่ของสวนมีเห็ดตับเต่าเกิดขึ้นบริเวณใต้ต้นส้มโอจำนวนมาก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2549 -2552 กรมวิชาการเกษตร โดยนักวิจัยจากศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ได้เก็บตัวอย่างเห็ดตับเต่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นำมาแยกเชื้อบริสุทธิ์บนอาหารวุ้น PDA  ซึ่งก็ได้ทั้งหมด 47 isolate โดยเก็บจากใต้ต้นมะกอกน้ำ กระท้อน หว้าและส้มโอ เพื่อจะศึกษาลักษณะดอกเห็ดตับเต่าที่พบในสภาพธรรมชาติ รวมถึงการแยกเชื้อบริสุทธิ์ของเห็ดตับเต่าบนอาหารสังเคราะห์และทำการผลิตหัวเชื้อต่อไป นอกจากนั้นยังศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อเห็ดตับเต่ากับรากพืชอาศัยในห้องปฏิบัติการ และยังได้ปลูกเชื้อเห็ดตับเต่าลงบนพืชอาศัย 1 ชนิด คือ ต้นมะกอกน้ำ ทั้งนี้ก็เพื่อใช้เป็นตัวอย่างหรือ Model ในการศึกษาการสร้าง มัยคอร์ไรซ่า (Mycorrhizae) และการพัฒนาเป็นดอกเห็ดในแปลงปลูกต่อไป ซึ่งจากการศึกษาและทดลองดังกล่าวก็ได้ข้อสรุปว่า

1. เชื้อเห็ดตับเต่าทุก  Isolate สามารถเจริญได้บนอาหารสังเคราะห์
2. เชื้อเห็ดตับเต่าแต่ละ Isolate มีอัตราการเจริญเติบโตทางเส้นใยที่แตกต่างกัน แต่ทุกๆ isolate จะมีการเจริญบนอาหาร MMN ได้ดีกว่าอาหาร PDA ดังนั้นจึงควรใช้ MMN เป็นอาหารเลี้ยงเชื้อเห็ดตับเต่าแทน
3. เชื้อเห็ดตับเต่ามีการอยู่ร่วมกัน (Colonization) กับรากมะเกี๋ยงป่าได้ดี และเชื้อเห็ดตับเต่าบาง isolate สามารถเจริญเป็นดอกเห็ดได้ในหลอดทดลอง และบาง isolate จะพัฒนาเป็นดอกเห็ดขนาดเล็กบนอาหาร PDA หลังจากการเลี้ยงเชื้อที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 1 เดือน
4. การปลูกเชื้อเห็ดตับเต่าให้อยู่ร่วมกับพืชอาศัยทำได้โดยการล้างเส้นใยออกจากหัวเชื้อเมล็ดข้าวฟ่าง (หัวเชื้อ 1 ขวดต่อน้ำ 2 ลิตร)  จากนั้นให้ใช้จอบขุดบริเวณรอบชายพุ่มจนพบรากฝอยของพืชอาศัย แล้วนำเชื้อไปราดบริเวณชายพุ่มก่อนกลบด้วยดิน และยังสามารถกระตุ้นให้เกิดดอกเห็ดตับเต่านอกฤดูในพืชอาศัยที่เคยพบดอกเห็ดตับเต่าขึ้นตามธรรมชาติได้ด้วย โดยการให้น้ำด้วยระบบสปริงเกอร์เลียนแบบการตกของฝน และก็จะพบดอกเห็ดตับเต่าขึ้นบริเวณใต้ทรงพุ่มของพืชอาศัยดังกล่าวหลังจากให้น้ำประมาณ 2-3 สัปดาห์ 

จากกาารทดลองในเรื่องเห็ดตับเต่าทีว่านี้ก็ได้เป็นประโยชน์กับส่วนต่างๆมากมายเช่น
-  นักวิชาการเกษตรจัดการฝึกอบรมให้เกษตรกรและผู้สนใจมีความสามารถในการผลิตหัวเชื้อเห็ดตับเต่าเป็นการค้าได้
-  สามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกเชื้อเห็ดตับเต่าลงบนกล้าพืชอาศัยให้แก่เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ได้  ซึ่งในแต่ละปีจะต้องผลิตกล้าไม้อยู่แล้ว
-  เกษตรกรสามารถนำเทคโนโลยีไปผลิตเห็ดตับเต่านอกฤดูกาลเพื่อนำออกจำหน่ายเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นได้
-  เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถปลูกเชื้อเห็ดตับเต่าลงบนพืชอาศัยเพื่อผลิตตับเต่าเป็นอาหารในครัวเรือนหรือจำหน่ายทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งได้

สำหรับก้อนเชื้อเห็ดตับเต่าสามารถสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ “ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย” หากเกษตรกรหรือผู้สนใจจะสั่งซื้อหรือมีข้อสงสัยในเรื่องการเพาะ “เห็ดตับเต่า” ก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย โทรศัพท์ 053-170100 หรือ 053-170120 ได้ ในวันและเวลาราชการครับ โดยส่วนตัวผมเองก็สั่งซื้อที่นี่ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนั้นราคาก้อนละ 40 บาท ไม่รวมค่าจัดส่งครับ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย 

สรรพคุณทางยาของ ‘‘เห็ด 7 ชนิด’’

สรรพคุณทางยาของ ‘‘เห็ด 7 ชนิด’’

ประโยชน์ทางยาของเห็ด 7 ชนิด มีดังนี้
น่าอิจฉาคนที่เพาะเห็ดจังเลยนะครับ เพราะถึงอย่างไรคนที่เพาะเห็ดขาย หรือจะเพาะไว้รับประทานในครอบครัว ก็ต้องมีโอกาสรับประทานเห็ดที่ตัวเองเพาะเอาไว้อยู่แล้ว นอกจากจะเป็นอาหารมังสวิรัติที่ไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตแล้ว ยังได้รับประโยชน์ทางยาแบบคาดไม่ถึงอีกด้วย..ลองศึกษาดูสรรพคุณทางยาของเห็ด 7 ชนิด ที่ผมหาข้อมูลมากฝากกันในบทความนี้ดูครับ
ห็ดหลินจือ
1. เห็ดหลินจือ จะมีสารสำคัญ เช่น เบต้ากลูแคน ซึ่งสารที่ว่านี้จะมีคุณสมบัติช่วยในการต้านมะเร็ง ด้วยเหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงนิยมใช้เห็ดหลินจือควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็ง และโรคที่เกิดกับผู้สูงอายุเช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคความดันโลหิตสูงเป็นต้น
ห็ดหูหนู
2. เห็ดหูหนู  จัดอยู่ในกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวในผู้สูงอายุ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย รวมทั้งช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวงทวารได้ โดยเฉพาะเห็ดหูหนูขาวจะช่วยบำรุงปอดและไตในร่างกายเราได้
เห็ดนางรม 
3. เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าและเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้จัดอยู่ในตระกูลเดียวกันครับ แถมยังเป็นเห็ดที่มีรสชาติอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์และผมก็ชอบมาก เพราะเป็นเห็ดที่มีสรรพคุณทางยาที่สามารถป้องกันโรคหวัด และช่วยการไหลเวียนของเลือด และรักษาโรคกระเพาะอาหารได้
เห็ดฟาง
4. เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย เพราะสามารถเพาะได้แทบทั่วทุกภาคของเมืองไทย เป็นเห็ดที่ให้วิตามินซีสูงและมีกรดอะมิโนที่สำคัญอยู่หลายชนิด หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิต และยังสามารถลดการติดเชื้อจากบาดแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นได้
เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง
5. เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง เป็นเห็ดที่มีลักษณะคล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ และเป็นเห็ดที่มีบทบาทในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด โดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ จะไปช่วยยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเตส (Aromatase) ทำให้เกิดการยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยหมดประจำเดือน  เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการลดการก่อตัวหรือการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย

6.เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดที่มีลักษณะดอกเล็กๆขึ้นอยู่เป็นกลุ่มติดกัน มีรสชาติเหนียวนุ่ม นิยมนำมารับประทานแบบสดๆกับสลัด หรือถ้าชอบสุกก็นำไปย่างไฟถ่านอ่อนๆ หรือไม่ก็ผัดหรือลวกแบบสุกี้ก็อร่อยไม่แพ้กัน หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ โรคกระเพาะอาหาร และรักษาลำไส้อักเสบเรื้อรังได้

7. เห็ดโคน มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิดแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ จากผลงานวิจัยทางด้านเภสัชศาสตร์พบว่า สารที่สกัดได้จากเห็ดโคน สามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด เช่นเชื้อไทฟอยด์ได้




ประโยชน์ทางยาของเห็ดแต่ละชนิด

สรรพคุณทางยาของเห็ดแต่ละชนิด

ประโยชน์ทางยาที่ได้จากเห็ด

สำหรับเห็ดที่เราเห็นวางขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปนั้น นอกจากจะเป็นอาหารที่เอร็ดอร่อยแล้ว ได้มีนักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งนิยมเอามาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ (Lab) พบว่า เห็ดในแต่ละชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยาที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถรักษาโรคต่างๆได้มากมาย เช่น เห็ดหอม เห็ดเข็มทอง เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าเห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู และ เห็ดหลินจือ เป็นต้น และยังมีผลงานวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าสารสกัดที่ได้จากเห็ดแชมปิญองหรือเห็ดกระดุม สามารถช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็ง และต้านทานมะเร็งได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดชนิดอื่นๆโดยสารบางอย่างที่พบในเห็ดชนิดนี้ จะไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ Aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ในสตรีวัยหมดประจำเดือน และเมื่อร่างกายของคนเราผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็เท่ากับว่าเป็นการลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย ส่วนประเทศญี่ปุ่นได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าสารสกัดที่ได้จากเห็ดหอม จะให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคน ถึง 2 ชนิดได้แก่ Lentinan และ LEM (Lenti nula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งต่างๆได้ และยังได้มีการทดลองให้สาร Lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่า ก้อนมะเร็งที่อยู่ในร่างกายของผู้ป่วยมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย และความเชื่อของชาวจีนที่ว่า “เห็ดหอม” เป็นยาอายุวัฒนะนั้น ก็เพราะว่าสารสกัดที่มีอยู่ในเห็ดหอมจะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย และในเห็ดหอมยังมีกรดอะมิโนถึง 21 ชนิด มีวิตามิน บี 1 และบี 2 สูงพอๆกับยีสต์ มีวิตามินดีสูง ช่วยบำรุงกระดูกและมีปริมาณโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงกำลัง บรรเทาอาการไข้หวัดเป็นต้น ด้วยเหตุนี้ชาวจีนจึงนิยมบริโภคเห็ดหอมอย่างมาก และยกไห้เห็ดหอมเป็น “ยาอายุวัฒนะ” ชั้นเลิศอีกด้วยครับ